1.10.13

เมือง Grožnjan เมืองศิลปิน "town of artists" Istria, CROATIA

เมือง Grožnjan หรือ Grisignana ในภาษาอิตาเลียน เมืองศิลปิน "town of artists" Istria, CROATIA 



เมืองแห่งศิลปิน เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาลเคียงข้างเมืองใกล้เคียงใน คาบสมุทร Istria อย่าง Buje, Rovinj และ Motovun ในยุคเวเนเซียน เป็นของอิตาเลียนเรื่อยมา จนต่อมาในสมัย Austrian Empire  ราชวงศ์ Harburg ปกครอง istria กษัตริย์ออสเตรีย Francis II เคยเสด็จประพาสเมืองนี้ด้วย ต่อมาออสเตรียพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ อิสเตรีย รวมทั้ง กลับเป็นของอิตาลีอีก ก่อนจะถูกรวมเข้ากับยูโกสลาเวียหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และโครเอเชียตั้งแต่ปี 1991 จนถึงปัจจุบัน เคยเกือบเป็นเมืองร้างเมื่อครั้งประชากรซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอิตาเลียนอพยพหนีคอมมิวนิสต์ไปยังอิตาลีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  

ต่อมาต้องขอบคุณโครงการ Hippy Project ที่โครเอเชีย เปิดเมืองร้างแห่งนี้อีกครั้ง และอนุญาตให้ศิลปินจรทั้งหลายมาจับจองบ้านร้าง เพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะ เปิดแกลเลอรี่ สร้างเมืองเหงาๆ ให้กลับมาเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้ง ปัจจุบัน เมือง Grožnjan กลายเป็นที่พบปะของศิลปิน เกือบทุกแขนง จากทั่วทุกมุมโลก  เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึง ตุลาคม ที่ Grožnjan จากเมืองเงียบๆ ผ่านฤดูหนาวอันยาวนานมาสู่ฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้เบ่งบานทั่วเมือง ศิลปินก็เบิกบานด้วย พวกเค้าจะเดินทางมายังเมืองนี้เพื่อแสดงงานศิลปะ ทั้งนักวาดภาพ นักปั้น นักทอผ้า นักย้อมผ้า นักร้อยสร้อย นักดนตรี นักเต้น นักเล่นโยคะ จิปาถะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ทั้งเมืองเต็มไปด้วยสตูโอของศิลปินต่างๆ และยังมีการจัดคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีต่างๆ มากมาย รวมทั้งเทศกาลดนตรีแจ๊สที่มาชื่อเสียง จนชนะรางวัล The best small jazz festival ในยุโรป มาแล้ว 






Marko Brajkovic จากเมือง สตุ๊กการ์ด ประเทศเยอรมันนี เค้าเรียกตัวเองว่า สถาปนิกอิสระ ศิลปินวาดภาพสีน้ำมัน นักคั้นน้ำมันมะกอก นักเก็บเห็ด Truffle 

เกิดเมื่อ 47 ปี ที่แล้ว ในส่วนหนึ่งของประเทศเซอร์เบีย ระหว่างกำลังศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์เกิดสงครามบอลข่านขึ้น สงครามทำให้เขาและครอบครัวต้องอพยพไปอยู่เยอรมันนี มาร์โคเล่าว่าระหว่างตั้งหลักปักฐานที่เยอรมันทำให้เค้าหยุดทำงานศิลปะไปนานทีเดียว สามปีที่ผ่านมาเค้ากลับมาทำงานศิลปะอีกครั้ง ซื้อบ้านที่เมือง Grožnjan และเปิดสตูดิโอ แสดงผลงานวาดภาพของตัวเค้าเอง รวมทั้งจับมือกันกับเกษตรกรท้องถิ่นสร้างผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน อาทิ น้ำมันมะกอกออแกนิก เห็ด truffle Balsamic Vinegar และ น้ำผึ้ง ภายใต้แบรนด์ Fratellini ขายควบคู่ไปกับการทำงานศิลปะของเค้า มาร์โคมีลูกทั้งหมด 6 คน ทั้งหมดอาศัยอยู่ที่เยอรมันนี รวมทั้งภรรยาของมาร์โคที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ด้วย ทุกปีเด็กๆ จะมาใช้เวลาปิดเทอมหน้าร้อนกันที่ Grožnjan 



ใครผ่านไปเมือง Grožnjan แวะสตูดิโอของเค้าได้ที่
Marko Brajkovic’s studio
Brace Corvia 14, 52429 Grožnjan Croatia

Website www.apicius-gourmet.com

เมือง Grožnjan ห่างจากเมืองปลายสุดของอิตาลี Trieste เพียงแค่ 50 กม. อยู่ใกล้กับเมืองใหญ่ในคาปสมุทรอิสเตรีย คือ เมือง Buje ที่อยู่ติดพรมแดนสโลวีเนีย พิกัด 45.384948,13.716216

รูปเพิ่มเติม คลิ้กดูที่นี่ 




10.7.13

Roadtrip Report ทริปหนีลูกไปเที่ยว 1,000 กิโลเมตร 4 ประเทศ 5 วัน 4 คืน ตอน 4 เมือง Krk Island + Senj ประเทศ Croatia

Roadtrip Report ทริปหนีลูกไปเที่ยว 1,000 กิโลเมตร 4 ประเทศ 5 วัน 4 คืน  ตอน 3 ขับผ่านเมือง Rijeka สู่เกาะ Krk Island หมู่บ้าน Omišalj และ Krk Town และนอนชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่เมือง Senj ประเทศ Croatia

อู้ไปนานมากๆ เลยค่ะกว่าจะกลับมารีวิว จนไปเที่ยวที่อื่นรวมทั้งโครเอเชียเมืองอื่นๆ อีกหลายต่อหลายทริป จนตัวเองลืมไปแล้วว่าติดค้างงานทริปรีวิวนี้อยู่ อิอิ ซะหน่อยขอให้จบอันนี้ก่อน

สลัดผักสดอร่อยๆ ที่เมือง Krk Town, Croatia  อาหารกลางวันเมื่อวันที่  16.03.2013 


ตอนนี้ว่าด้วย เกาะ Krk Island หมู่บ้าน Omišalj และ Krk Town ตบท้ายด้วย เมือง Senj ที่กลางประเทศโครเอเชียค่ะ หลังจากที่เราขับรถออกจาก Pula กันตอนแรกต้าร์กะว่าจะพาเพื่อนสาวไปแวะที่เมือง Opatija หรือข้ามเกาะไป Mali-Losinj กันดีไม๊ แล้วเราก็ไปถึง Opatija ค่ะ แต่จอดลงกันแป๊ปเดียว เพื่อนสาวเธอเดินดูแล้วบอกงั้นๆ เกิดอยากไปเกาะ Mali-Losinj  ขึ้นมาอีก (ปล. เราไม่ได้จองที่พักอะไรทั้งสิ้นนะคะ ทริปสุ่มลูกเดียวค่ะ) เรากางแผนที่ออกมาดูกัน  เพื่อหาวิธีไป Mali-Losinj กัน กล่าวคือ จาก Opatija เราต้องขับรถเข้า Rijeka ข้ามสะพานไปที่เกาะ Krk Island ไปยังเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า Valbiska ระยะทางประมาณ 154.9 กม. แล้วก็เอารถไปขึ้นเรือเฟอร์รี่อีก  25 นาที  เรือออกทุกๆ 3  ชั่วโมงไปยังเกาะ Cres ขึ้นฝั่งที่เมือง Merag แล้วก็ขับรถต่อไป Mali-Losinj  อีก 68.8 กม. ก็ถึงแล้ว  ไม่ยากเลยเนอะ งั้นไปเที่ยวด้วยกันเลยค่ะ รายละเอียดเกี่ยวกับเกาะ Losinj  ในฝันนี้ ไปดูได้ที่เวปเค้า  http://www.tz-malilosinj.hr/ ที่บอกว่า เกาะในฝันเพราะฝันว่าได้ไป แต่จริงๆ  ต้าร์และเพื่อนสาวไปไม่ถึงหรอกค่ะ ขับรถวนเล่นอยู่แถวๆ เกาะ Krk Island  เกาะที่ติดอยู่กับเมือง Rijeka นั่นแหล่ะ Rijeka ก็ไม่ได้แวะด้วยเพราะเห็นจากถนนบนเขาแล้วมันดูเมืองมันใหญ่โตยุ่งเหยิงเหลือเกิน เลยไม่แวะค่ะ  สบายใจแล้ว ฮาฮ่า แล้วก็ขับออกจากเกาะไปต่อที่เมือง Senj ค่ะ

แนะนำเกาะ Krk Island กันซะหน่อย 
เกาะ Krk Island เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศโครเอเชีย พื้นที่ 405.78 kmอยู่ใกล้แผ่นดินใหญ่ราวๆ 35 กม. จากเมือง Rijeka บนเกาะประกอบด้วยเมืองเล็กๆ 7 เมือง ดังนี้
1.Krk town(อิตาเลียน Veglia) ที่ใหญ่ที่สุดในเกาะ
2.Omišalj (อิตาเลียน Castelmuschio)
3.Malinska (อิตาเลียน  Malinsca )
4.Punat
5.Dobrinj
6.Baška
7.Vrbnik

เราได้แวะเที่ยว 3 เมืองแรกค่ะ คือ Krk Town, Omišalj และ Malinska ขอบอกเงียบเป็นป่าช้าทุกเมืองเลยค่ะยกเว้น Krk Town เมืองหลัก ที่พอมีผู้มีคนบ้าง แถมหนาวจับใจ อิอิ พอดีไปเที่ยวผิดเดือนมีนาคมค่ะ

ประวัติเกาะ krk island คร่าวๆ คล้ายกับเมืองอื่นในแถบชายฝั่งทะเลเอเดรียติกทั้งหลายเป๊ะๆ เลย คือ สร้างตั้งแต่สมัยโรมันกว่า 3000 ปีมาแล้ว ต่อมาเป็นของไบเซนไทน์ คตวรรษ 6- 12 ยุคเวเนเซียนนานที่สุด 600 กว่าปี คตวรรษที่ 12-18  ต่อมาเป็นของออสเตรีย-ฮังการี อีก 100 กว่าปีต่อมา กลับมาเป็นของอิตาลีอีกครั้ง (1918-1943) สงครามโลกครั้งที่สอง โดนเยอรมันยึดอีก 2 ปี 1943-1945 ต่อมารวมเข้ากับยูโกสลาเวีย 41 ปี และแยกออกมาอยู่กับ โครเอเชีย เมื่อปี  1991 แต่จากการเยี่ยมชมเกาะ Krk ล่าสุดในทริปนี้ของต้าร์  คิดว่าเกาะนี้โดนเยอรมันยึดไปพอสมควรทีเดียวค่ะเพราะจากที่สังเกตจากจำนวนรถที่มีน้อย แต่ส่วนใหญ่ป้ายทะเบียน D ทั้งนั้นเลย แล้วก็เห็นโฆษณาขายอพาร์ทเม้นต์ต่างๆมีภาษาเยอรมันกำกับด้วย เพื่อนสาวชาวโปแลนด์ที่รู้ภาษาเยอรมันด้วยอ่านได้ใจความว่าเอเจนซี รับจัดการการซื้อขายพิเศษอสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวเยอรมัน

จะไปเที่ยว ก่อนอื่นต้องแนะนำให้รู้จักสะพานข้ามไปยังเกาะ Krk island ซะก่อนค่ะ ขับข้ามสบายเลยไม่ได้ต้องนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากเหมือนเกาะอื่นๆ เพราะไม่ไกลจากฝั่งมากค่ะ


ที่แรกที่เราไปเที่ยวก็คือเมือง Omišalj เพราะอยู่ใกล้สุด น่ะซิ ไม่หรอกเพราะเพื่อนสาว แอบไปดูวีดีโอยูทูปของเมืองนี้มาแล้วร้องกรี๊ดว่ามันน่ารัก คึกคัก (หน้าร้อนน่ะซิ) เพราะพอเราไปถึงไม่มีคนเลยแม้แต่คนท้องถิ่นร้านอาหารก็ปิด โบสถ์ที่อยากดูภายในก็ปิด ซากปรักหักพังโรมันก็ไม่ให้เข้า เรือเฟอร์รี่ก็ไม่แล่นค่ะ 

กดดูวีดีโอนี้ค่ะ เมือง Omišalj นี้น่ารักน่าเที่ยวมากๆ  แนะนำให้ไปหน้าร้อน




ขับรถมาถึงไม่พูดพล่ามทำเพลงเห็นร้านกาแฟที่เปิดอยู่ร้านเดียวสั่งกาแฟลาเต้มาอุ่นเครื่อง ก่อนเลยค่ะ เห็นเครื่องแต่งกายแล้วก็รู้ว่าหนาวนะคะ


Omišalj - church เพื่อนสาวเสื้อแดงเห็นหลังไวๆ เงียบไม๊ล่ะคะมีแต่เราสองคน 
  

พยายามจะบุกรุกเข้าไปในโบสถ์ด้วยค่ะ เพราะเห็นจากวีดีโอมันสวยมาก แต่ไม่สำเร็จเข้าไม่ได้อ่ะค่ะ หุหุ

ที่ลานแสควร์ของเมือง มีกันอยู่เท่าเนี่ย ต้าร์กับคุณลุงหนึ่งคนที่ร้านกาแฟ
ในวีดีโอที่เพื่อนสาวให้ดู หน้าร้อนคนมาเต้นรำกันคึกคัก 

 วิวทะเลเมือง Omišalj สวยดี แต่เดือนมีนาคมหนาวจริงเล้ย

ท่าเรือจอดเงียบฉี่ เจ้าของคงหนาวอยู่เยอรมัน
ปิดท้ายด้วยรูปนี้ น่ารักดีเนอะ อยากได้หลังสีเหลือง

เยี่ยมเมืองร้าง เอ้ย เมือง Omišalj เหงาจัง เสร็จเราก็ไปกันต่อค่ะ เผื่อมันจะคึกคักมากขึ้นหน่อย โดยสรุปเมือง Omišalj น่ารักมากค่ะ แต่ควรจะมากันหน้าร้อน เพราะอย่างที่บอกเดือนมีนาคมที่ร้อนตับแลบที่เมืองไทย แต่โครเอเชียเย็นจังเล้ย ลมแรงด้วยค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างปิดหมดด้วย  ณ ตรงนี้เราสองคนก็ได้ข้อสรุปว่าไม่ควรจะขับรถเลยไปถึง Mali-Losinj!! เพราะที่นั่นน่ะมันเป็นเมืองตากอากาศหน้าร้อน ถ้าไปคงได้ผีหลอกกันบ้าง  แถมมันไม่มีสะพานข้ามไป  จะข้ามด้วยเรือเฟอร์รี่ข้ามเกาะสงสัยจะไม่มีแน่ๆ 

แต่มาถึง Krk island แล้วต้องดูให้ทั่วเกาะ เราก็เลยขับต่อไปมั่วๆ โดยเลือกขับตามรถป้ายทะเบียนเยอรมันเจ้าถิ่นที่ขับเร็วม้าก เพราะถนนว้างว่าง ไปถึงเมือง Krk town เมืองหลักทางใต้ของเกาะ แล้วก็ต้องร้องอู้ สวยค่ะเมือง Krk Town ถึงจะคนเงียบเหมือน Omišalj แต่ก็คึกคักกว่าเพราะเป็นเมืองหลวง แต่ร้านค้าที่เกี่ยวกับนักท่องเที่ยวทั้งหลาย อย่างร้านขายของที่ระลึก สถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่เปิดให้เข้าดูค่ะ อ้าวไม่เปิดก็ไม่เปิด เราก็เลยเดินเล่นตามชายหาดค่ะ ด้วยชุดหมีน้อยเต็มยศของเรา อย่าตกไปในน้ำเชียวหนาวแน่ ๆ 


Lighthouse สีแดง โดดเด่น เห็นในอินเทอร์เน็ตเค้ารูปสวยเลยถ่ายแบบนี้มั่ง

กำแพงเมืองเก่า

อีกด้านนึงของเมืองมองไปเห็นเรือลอยล่องอยู่ เบื้องหลังคือโบสถ์ประจำเมือง ที่ปิด แต่คงจะเปิดวันอาทิตย์ให้คนทำมิซซามั้งคะ 

เรือลำน้อยที่มีอักษรย่อ เหมือนข้าพเจ้าเลย KK

อีกมุมสวยๆ 


ผับที่ปิดเงียบเพื่อนเลยอดกินเบียร์เลย


สุดท้ายมาสิ้นสุดที่ร้านอาหารใกล้ชายหาดมีโต๊ะว่างหลายโต๊ะค่ะ ได้หม่ำสลัดหน้าตาดีรูปข้างบนไป ถามเพื่อนสาวว่าชอบ Krk island ไม๊ เพื่อนบอกว่าคงจะชอบมากกว่านี้ ถ้าไม่เหงาหงอย  ไม่หนาวและเล่นน้ำได้
อ้าว แล้วทำไมชวนมาหน้าหนาวล่ะจ๊ะเพื่อน



ก่อนออกจาก Krk Island เราขับรถ Test drive เล่นเพราะเห็นถนนมันว่าง ไปเผลอแวะที่ Malinska ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เลยแวะซะหน่อย เหงาหงอยเหมือนเดิม นี่ถ้าใครรักการท่องเที่ยวแบบปลีกวิเวก หน้าหนาวที่นี่เหมาะมากเลยนะคะ 

ดูรูป Malinska ที่ขับรถผ่านไปค่ะ  สวยน่ารักดี แต่คล้ายๆ กันไปหมดคือมีท่าเรือเรือจอดเพียบแต่เจ้าของไปไหนไม่รู้ 

ต้นไม้เหงาๆ รอคนมาเยือนในหน้าร้อน

เรื่อที่ Malinska เค้าอักษรย่อ MK ค่ะ

**********

ถึงตอนนี้เราสองคนเริ่มหาว ที่เวลาบ่ายสามยังไม่สำนึกว่าเรายังไม่มีที่ซุกหัวนอนกันคืนนี้ เพราะไม่ได้จองโรงแรมอะไรกันไว้เลย  เราก็เอาแผนที่ขึ้นมากาง เพื่อนสาวก็จิ้มไปที่เมือง Senj บอกว่าฉันจะนอนตรงนี้ เธอขับรถพาไปนะ  เดี๋ยวจัดให้จ้า  ที่เลือกเมือง Senj เพราะเป็นเมืองริมทะเลที่อยู่ก่อนถนนเส้นในเส้นทางไปยัง Plitvice น่ะค่ะ  ดูแผนที่


จาก Malinska มายังเมือง Senj ขับรถเลียบมาตามชายฝั่ง ประมาณ 1 ชั่วโมง ถนนสวยงามเห็นวิวทะเลเอเดรียติก และขับไม่ยาก เพื่อนสาวหลับมาตลอดทางเลย ไม่ได้แวะแชะๆ แต่อย่างใด 

มาถึง Senj แล้วค่ะขอเล่าเกี่ยวกับเมืองนี้ให้ฟังซะหน่อย 
มีใครรู้จักลมโบร่า (Bora)บ้างคะ ใครไม่รู้จัก เล่าให้ฟังอีกรอบ 

{*ลมโบร่า Bora  เกิดจากการปะทะกันของความกดอากาศอย่างเฉียบพลันในบริเวณเทือกเขาจูเลียนแอลป์ในประเทศสโลวีเนียและโครเอเชียเกิดเป็นลมปะทะรุนแรงพัดลงจากทางเหนือของสโลวีเนียลงใต้ไปสู่ทะเลเอเดรียติก ความเร็วลมโดยเฉลี่ย 100 กม. ต่อชม. ความเร็วลมสูงสุดที่เคยวัดได้ถึง 200 กม. ต่อ ชม. ทีเดียว  ลมโบร่าจะทำให้อุณหภูมิลดต่ำอย่างรวดเร็วถึงระดับต่ำกว่าศูนย์ ต่ำสุดที่เคยวัดอยู่ที่ประมาณ -18 องศาเซลเซียส ลมโบร่าโดยมากเกิดในฤดูหนาวจะพัดอยู่แถบประเทศสโลวีเนีย บางส่วนของประเทศโครเอเชียที่คาบสมุทร Istria และเมืองทรีเอสเต้ ลมโบร่าบางครั้งสร้างความเสียหายแก่สิ่งก่อสร้างและอันตรายแก่ผู้คนโดยเฉพาะถ้าออกไปเดินในตอนที่ลมแรงมากอาจจะมีสิ่งของปลิวมาโดนศรีษะหรือหกล้มลื่น เคยมีรถบรรทุกคว่ำกลางเมืองทรีเอสเต้เนื่องจากลมโบร่ามาแล้ว}

คำโบราณของคนแถวนี้เค้าว่า  "The Bora is born in Trieste, it gathers its force in Rijeka and reaches full magnitude in Senj." เมือง Senj คือเมืองที่ลมโบร่าพัดรุนแรงที่สุดค่ะ !!! 

พอต้าร์บอกแม่สามีเท่านั้นแหล่ะว่าจะมานอนที่เมือง Senj ร้องอุทาน อุแม่เจ้า เลยค่ะ เนื่องจากกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วเค้าเคยผ่านมาที่เมืองนี้ ขณะที่มีลมโบร่าพัดอย่างรุนแรง  เค้าจะขับรถหนีออกนอกเมือง ตอนเปิดประตูรถเพื่อเข้ารถปรากฎว่าปิดประตูเกือบไม่ได้ ลมพัดจนประตูเกือบหักเลยค่ะ จนจำฝังใจเค้าเลย

นอกจากมีชื่อเสียงเรื่องลมโบร่าที่พัดรุนแรงแล้ว ที่เมืองนี้ยังเป็นเมืองโบราณมีอายุกว่า 3,000 ปี และมีป้อมปราการใหญ่ตั้งบนเนินเขา สร้างคตวรรษที่ 16  เรียกว่า Fortress Nehaj  ยังเป็นสัญลักษณ์ของเมือง Senj อีกด้วย

******************

กลับมาเรื่องที่พัก เราไม่ได้จองมา ทายซิว่าเราไปนอนที่ไหนกัน

ท้าทายมากเลยค่ะ เพราะโรงแรมที่เมือง Senj มีน้อยแล้วก็ยังไม่เปิด เราขับรถมาถึงเมือง Senj ตอนราวๆ เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว เพื่อนสาวผู้ออกตัวตั้งแต่แรกว่าอยากมาพักเมืองนี้ และจะเป็นผู้รับผิดชอบหาที่พักเอง เริ่มหน้าซีด เมื่อเห็นโรงแรมแรกที่เราคิดว่าจะไปพักตามคำแนะนำของไกด์บุ๊กปิด เธอเลยต้องหาใหม่จากรายชื่่อในไกด์บุ๊ก แล้วเราก็เริ่มขับรถทัวร์รอบเมืองกัน เราไปถามหาโรงแรมอีก 2 ที่ ปิดหมดค่ะ จนสุดท้ายยังคิดกันว่าขับไปต่อ Plitvice แล้วนอนที่นั่นจะดีไม๊ แต่แล้วเพื่อนก็ได้ไอเดีย เห็นป้ายที่พักให้เช่าบนเนินเขา 2-3 ป้าย ก็บอกว่าเราถามตรงนั้นก่อนดีไม๊ ต้าร์ก็ขับรถขึ้นเนินเขาไปตามถนนแคบๆ เราก็เห็นบ้าน 2 หลังบอกว่าเป็นอพาร์ทเม้นต์ให้เช่า หลังแรกกดกริ่งไม่มีคนเปิด และหลังที่สองนี่ล่ะที่โชคเข้าข้างเรา Apartment Laura คนมาเปิดเป็นชายเจ้าของบ้านที่พูดอังกฤษได้นิดหน่อย ตอนแรกบอกว่ายังไม่เปิด แต่เราขอร้องว่าขอเช่า แค่คืนเดียวเถอะนะ ไม่ต้องมีอาหารเช้าก็ได้ พรุ่งนี้ก็จะไปแล้ว เค้าก็บอกว่าโอเค พาไปเปิดห้อง เราก็ต้องร้องว้าว ห้องใหญ่ 2 ห้องนอน 2 เตียง(แต่เราขอทำเตียงเดียว) สะอาด ใหม่ อุปกรณ์ครบครัน ดูดี และวิวงามมากเลยค่ะ ทั้งวิวทะเลและวิวภูเขาเห็น Fortress ด้วย  ราคาได้มาถูกเหลือเชื่อ 40 ยูโร เอง จากราคาปกติที่ภายหลังเรามาดูในเวปเค้า 90 ยูโร 

ได้ที่พักแล้วก็สบายใจจัง นั่งดื่มชาที่เค้าจัดให้ชมวิวพระอาทิตย์อย่างเก๋เลย  หน้าตาห้องพักค่ะ



พระอาทิตย์ตกดินที่เมือง Senj  สวยหยาดเยิ้ม  ถ่ายจากระเบียงที่พัก อพาร์ทเม้นต์เลาร่า


หน้าตา Fortress Nehaj ค่ะ รูปนี้ถ่ายมาจากระเบียงที่พัก เราไม่ได้เข้าไปเพราะปิด และตอนเช้าก็ออกเดินทางแต่เช้า

หลังจากเข้าห้องพักก็มาเดินเล่นที่ท่าเรือที่ Senj พลบค่ะพอดี 


ค่ำคืนที่ Senj  ลมแรงค่ะ 


Senj ตอนเช้าตรู่สวยดี  มองออกไปเห็นเกาะลิบๆ 


ข้างๆ อพาร์ทเม้นต์ก่อนขับรถจากมา เต็มไปด้วยต้น Almond ที่ออกดอกสะพรั่ง 


ตอนเช้าก่อนแปดโมงเราก็อำลา Apartment Laura ที่ Senj ออกเดินทางกันต่อไปยังอุทยานแห่งชาติชื่อดังของโครเอเชีย  Plitvice วิวตอนเช้าที่ Senj สวยสดชื่นจริงๆ อาการก็เย็นแต่ขอบอกที่ Plitvice เย็นกว่ามากเตรียมเสื้อกันหนาวรองเท้าลุยหิมะให้พร้อมเลยค่ะ 


ส่งท้ายกันหน่อย 
Krk Island เหมาะกับการมาเที่ยวหน้าร้อนเพราะมีเย็นมาก มีหาดหินกว้างๆ ให้นักท่องเที่ยวเล่นน้ำ จากที่ดูในวีดีโอ มันจะมีกิจกรรมรื่นเริงต่างๆ มากกว่า ทั้งเทศกาลของเมือง รวมทั้งร้านอาหาร ร้านค้า ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็จะเปิดให้ชมตั้งแต่กลางเดือนเมษายนไปจนถึงตุลาคม พฤศจิกายนถึงมีนาคม ไม่ควรมาเที่ยวเพราะทุกอย่างปิดหมด 

Senj เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ควรค่ากับการแวะระหว่างทาง เยี่ยมชม Fortress Nehaj และเดินชมเมืองเก่าที่มีโบสุถ์และบ้านเรือนเก่าปนใหม่ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร นอกจากใครขับเรือมาอาจจะแวะเล่นน้ำเล่นที่นี่ก็ได้  

การเดินทาง การเดินทางไป Krk Island และ Senj นั้น  คิดว่าคงมีรถบัสบ้างเหมือนกัน แต่น่าจะน้อยมากและมีเฉพาะหน้าร้อนจากเมือง Rijeka เพราะไม่ใช่เมืองใหญ่ ดีที่สุดคือขับรถไปเองค่ะ 
อ้อ ที่เกาะนี้มีสนามบินด้วยค่ะ มีสายการบินโลวคอสจาก Easyjet Ryanair จากอังกฤษ เยอรมัน และสแกนดิเนเวีย มาบินลงทีนี่เฉพาะหน้าร้อน 

ที่พัก  ถ้าอยากพักจริงๆ แนะนำได้ที่เดียว เพราะที่อื่นไม่เคยลอง คือ อพาร์ทเม้นต์ Laura ที่ Senj 
ตอนที่เราไปพักห้องใหญ่ได้ราคาถูกมาก 40 ยูโรค่ะ เวป http://www.app-laura.com/index.php/en/apartments ถ้าจะพักที่อื่นลองดู Hostelworld.com หรือ Booking.com นะคะ 




อยากพูดคุยหรือทักทายกันได้ ขอรบกวนไปที่ Facebook.com/BlueSeaTriesteItaly นะคะ
ไม่ได้เซตให้รับข้อความอัตโนมัติที่ Blog นี้ค่ะ



22.4.13

ดอกซากุระ หรือดอกเชอร์รี่ Cherry blossom ที่เมือง Gorizia อิตาลี และ Brda ประเทศสโลวีเนีย


เก็บภาพดอกเชอร์รี่ Cherry blossom หรือ Sakura ในภาษาญี่ปุ่น 
สวยๆ ในแถบเมือง Gorizia และ Brda ประเทศสโลวีเนียมาฝากกันค่ะ   

พวงดอกเชอร์รี่สีขาวสะอาดตา เบื้องหลังเป็นไร่องุ่นบนเนินเขา 

ดอกเชอร์รี่ใกล้ๆ อีกนิด 

แถวต้นเชอร์รี่กิ่งเอียงเข้าหากัน เป็นไอเดียเก๋ๆ เผื่อใครอยากมาแต่งงานใต้ต้นเชอร์รี่นะคะ

มีเด็กที่บ้านมาวิ่งเล่นอยู่คนนึง

สวนเชอร์รี่แถวๆ นี้ หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ 

วิวเบื้องหลังต้นเชอร์รี่ ไร่องุ่นบนเนินเขา 

ช่อดอกเชอร์รี่นี้มองเห็นลูกมันโผล่ออกมาแล้วค่ะ

หลังจากดอกเชอร์รี่โรยรา อีกประมาณเดือนกว่าๆ มันก็จะกลายเป็นลูกเชอร์รี่ห้อยระย้า ประมาณนี้ล่ะค่ะ   


ดอกเชอร์รี่สีขาวแบบนี้จะเป็นพันธ์ที่ออกลูกเชอร์รี่รสชาดดีของพื้นที่แถบนี้ แต่นอกจากสีขาวแล้ว ก็ยังมีต้นเชอร์รี่ที่มีดอกสีชมพู พบโดยทั่วไปตามบ้าน ในเมืองก็ตามสวนสาธารณะต่างๆ  แต่จะเป็นชนิดที่ไม่ออกลูก ปลูกเพื่อความสวยงามของดอกไม้เท่านั้นค่ะ 

ดอกซากุระบานที่สนามเด็กเล่นที่เมือง Trieste ต้นนี้ไม่มีลูกค่ะ 



ถ้าใครมีโอกาสมาเที่ยวประเทศอิตาลีแถบภูมิภาคนี้ ในระหว่างกลางเดือนเมษายน ต้องไม่พลาดมาชมดอกเชอร์รี่ หรือซากุระบาน สไตส์อิตาเลียนปนๆ สโลวีเนียน แม้จะไม่อลังการ์เหมือนซากุระของประเทศญี่ปุ่น แต่ก็สวยงาม เพลิดเพลิน เจริญตา เจริญใจ ไม่แพ้ใครเลย แถมคนไม่เยอะด้วยซิ  แล้วพอรออีกซักประมาณหนึ่งเดือนกว่าราวๆ ปลายเดือนพค.ถึงมิถุนายน ดอกเชอร์รี่แสนสวยเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนเป็นลูกเชอร์รี่แสนอร่อยมาให้หม่ำๆ กัน ชุ่มฉ่ำไปเลย เพราะว่ามันจะเยอะมากแล้วก็ราคาถูกอีกด้วยค่ะ


*****************


เล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับดอกซากุระ หรือดอกเชอรรี่

แต่ก่อนที่จะย้ายมาอยู่อิตาลี เวลาต้าร์นึกถึงดอกซากุระหรือ ดอกเชอร์รี่ ก็จะนึกถึงประเทศญี่ปุ่นก่อนอื่นเลยเพราะว่าเป็นประเทศที่โด่งดังเรื่องดอกไม้โชว์ลักษณะนี้  เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ต้าร์เคยเกือบจะซื้อตั๋วไปเที่ยวญี่ปุ่นเพราะอยากไปดูดอกซากุระนี้โดยเฉพาะด้วย แต่เผอิญเปลี่ยนเป้าหมายไปเที่ยวประเทศออสเตรเลียแทนซะก่อนก็เลยอดไปญี่ปุ่น แล้วต่อมาก็ย้ายมาอยู่ที่ไอร์แลนด์และอิตาลีตามลำดับ  จนถึงป่านนี้ก็ยังหาโอกาสไม่ได้ไปดูดอกซากุระที่ญี่ปุ่นเลยค่ะ  

Cherry blossom festival in Japan รูปเทศกาลดอกซากุระบานที่ประเทศญี่ปุ่นที่เคยอยากไปดู
credit : Attila JANDI / Shutterstock.com

พอได้ย้ายมาอยู่ที่ยุโรปนี่  ก็มีดอกเชอร์รี่ หรือซากุระให้ดูด้วยเหมือนกัน ไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่นแล้ว ตอนแรกๆ เวลาที่ยินชื่อ ดอกซากุระหรือดอกเชอร์รี่ ต้าร์ก็จะนึกว่าต้นเชอร์รี่ทุกต้นผลิตลูกเชอร์รี่  ยังนึกเลยว่าคนญี่ปุ่นนี่เค้าโชคดีเนอะ มีต้นเชอร์รี่เยอะแยะให้ทั้งดอกสวยๆ ทั้งลูกเชอร์รี่ให้ดูให้กินกลางเมืองเลย  แต่จริงๆ แล้วที่ถามมา ปรากฎว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ   เพื่อนที่ญี่ปุ่นบอกมาว่า ต้นเชอร์รี่ หรือซากุระที่ญี่ปุ่นนั้น มันออกแต่ดอกอย่างเดียว ไม่มีลูกออกมาด้วย พอไปอ่านเพิ่มเติมอีกทีในเวปต่างๆ ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมมาว่า  ต้นเชอร์รี่ มีหลายแบบ หลายพันธ์ มีเพียงบางพันธ์เท่านั้นที่ออกลูกเชอร์รี่ นอกนั้นจะเป็นต้นเชอร์รี่ที่ปลูกเพื่อความสวยงาม(Ornamental Tree - beautiful than useful) จะไม่ผลิตลูกเชอร์รี่แต่อย่างใด  ดอกร่วงแล้วก็ร่วงเลยไม่ได้งอกลูกออกมา อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง 

แต่โชคดีที่แถวๆ ที่อิตาลี มีภูมิอากาศเหมาะสมกับการปลูกเชอร์รี่แบบที่กินได้  และเป็นแหล่งผลิตแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งในโลกอีกด้วย(อิตาลีผลิตเชอร์รี่เป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากตุรกี อเมริกา และอิหร่าน (ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Cherry)  ก็เลยโชคดีที่ได้ดูทั้งดอกเชอร์รี่สวยๆ และได้กินลูกเชอร์รี่อร่อยๆ อีกด้วย  จริงๆ แล้วเกือบทั้งประเทศอิตาลีมีแหล่งปลูกเชอร์รี่มากมาย ที่มีชื่อเสียงได้แก่ ในแคว้น แถบ Veneto ทางตอ.เฉียงเหนือ และ แถบ Puglia ทางใต้ของอิตาลี นอกจากในอิตาลีแล้ว  ในประเทศใกล้เคียงอย่างประเทศสโลวีเนีย ในแคว้น Brda ที่มีพรมแดนติดกับเมือง Gorizia, Italy นอกจากปลูกองุ่นทำไวน์แล้วเค้า ก็ปลูกผลไม้อย่างเชอร์รี่ แพร์ พีช ขายเป็นสินค้าสำคัญเหมือนกัน    เกี่ยวกับ Collio Goriziano และ Brda http://blueseatrieste.blogspot.it/2012/11/brda.html

บรรยากาศดอกเชอร์รี่บาน ที่ประเทศอิตาลี 
เบื้องหลังบนเนินเขามีตึกรามและโบสถ์สไตส์อิตาเลียน สวย สงบ สง่า  

*****************
หวังว่าคงจะ ชอบซากุระ หรือ ดอกเชอร์รี่ ของอิตาลีกันนะคะ 
เดี๋ยวพอเชอร์รี่ ออกลูกแล้วจะไปเก็บ(รูป)มาฝากนะคะ 

ดูรูปเพิ่มเติม พูดคุยหรือทักทายกันได้ ขอรบกวนไปที่ Facebook.com/BlueSeaTriesteItaly
ไม่ได้เซตให้รับข้อความอัตโนมัติที่ Blog นี้ค่ะ

4.4.13

Roadtrip Report ทริปหนีลูกไปเที่ยว 1,000 กิโลเมตร 4 ประเทศ 5 วัน 4 คืน ตอน 3 เมือง Pula ประเทศ Croatia

มาแล้วจ้า เมือง Pula  ใน ภาคที่ 3 ของ Roadtrip report ทริปหนีลูกไปเที่ยว 1,000 กิโลเมตร 4 ประเทศ 5 วัน 4 คืน กันค่ะ

คราวที่แล้วเราพาชะโงกทัวร์เที่ยวเมือง Rovinj (อ่าน โรวินซ์) ภายในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ก็ได้เห็นเมืองเต็มตาเต็มอิ่มนะคะ  เมืองต่อไปที่เราสองคนไปกันต่อคือเมือง Pula (อ่าน พูล่า) ที่ที่เราจะนอนค้างคืนกันด้วย

ภาพ Roman Amphitheatre 1 ใน 6 ของโลก ที่ยังหลงเหลือสภาพค่อนข้างสมบูรณ์อยู่ในปัจจุบันนี้ 
ณ เมือง Pula ประเทศโครเอเชีย ถ่ายเมื่อ 15 มีนาคม 2013 ตอนราวๆ ห้าโมงเย็น 


==>ดูแผนที่การเดินทางกันอีกที 
==> และโพสที่แล้วเมือง Rovinj  ตอนนี้เรามาถึงจุด D เมือง Pula  แล้วค่ะ

เพื่อนสาวของต้าร์เธอเป็นคนเลือกเมือง Pula เป็นจุดหมายปลายทางของเราด้วย  เนื่องจากว่าเธอไปเห็นรูป Roman Amphitheatre หรือจะเรียก Arena ก็ได้ ผูกเนคไทสีแดง จากในรูปในโพสเก่า   แล้วเกิดอาการอยากมาดู  ต้าร์เองก็ตามใจเพื่อนน่ะซิ แต่ใจจริงก็อยากมาดูด้วยเหมือนกัน ต้าร์เคยเห็น Arena ล่าสุดที่เกาะซิซิลี แต่ที่นั่นน่ะ แตกหักพังไปเยอะแล้ว แต่ของที่ Pula นี่เค้าว่าเป็น 1 ใน 6 (จาก 200 แห่ง) ของโลกที่โครงสร้างยังคงหลงเหลือค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว  Roman Amphitheatre ส่วนมากอยู่ในประเทศอิตาลีและที่มีชื่อเสียงมาก 2 แห่ง ได้แก่ ที่กรุงโรม(Rome) และเมืองเวโรน่า(Verona)  นอกจากจะมาดู Roman Amplitheatre แล้ว ต้าร์แอบมีมิชชั่นส่วนตัวเล็กๆ ที่ตั้งใจจะทำ คือ อยากจะไปเยี่ยมเพื่อนคนนึงซะหน่อย

รูป Pula Roman Amplitheatre Arena ปี 2003 ที่โดนผูกเน็คไทสีแดง
มีใครรู้บ้างว่าเน็คไทนั้นมีต้นกำเนิดมาจากโครเอเชียนี่เอง



ก่อนจะไปรู้จักกับเมือง Pula กันซักนิดนึง

Pula เป็นเมืองที่อยู่ตรงติ่งปลายสุดของ Istria และก็เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดด้วย อายุมากกว่า 3,000 ปี ตั้งแต่สมัยกรีกโรมันโน่นเลย  สัญลักษณ์สำคัญของเมือง หนีไม่พ้น Roman  Amphitheatre ที่ตั้งอยู่ติดทะเลเอเดรียติก สร้างในช่วงศตวรรษที่  1 ยุคเดียวกับโคลอสเซียมของกรุงโรมนั่นเอง สมัยก่อน   Amphitheatre ถูกใช้เป็นสนามสู้รบของเหล่านักรบโบราณ และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองที่มาดูการแสดงต่อสู้ของนักโทษ gladiators กับสัตว์ร้ายด้วย  ในวิกีพีเดียเค้าบอกว่าสมัยก่อน Roman  Amphitheatre  ที่ Pula จุคนได้ถึง 23,000 คนทีเดียว  แต่ปัจจุบันเค้า ใช้แสดงคอนเสริต์ โอเปร่า หรือกิจกรรมกลางแจ้งอื่นๆ และอนุญาตให้ผู้ชมเข้าได้ครั้งละประมาณ 5,000 คน เท่านั้น โดยจัดเก้าอี้ให้ในบริเวณลานตรงกลาง Arena ไม่ได้นั่งดูรายรอบเหมือนในสมัยโบราณ  ถึงให้นั่งก็นั่งไม่ได้  เพราะหินที่นั่งมันสึกกร่อนไปเยอะแล้วค่ะ   พาลจะทำให้หินเค้าสึกหนักเข้าไปอีก


*******************

กลับไปที่การเดินทางของเราอีกที  เราออกเดินทางจากเมือง Rovinj ตอนประมาณบ่ายสามนิดๆ ระยะทางระหว่างเมือง Rovinj มายัง Pula นั้นแค่ 35 กิโลเมตร  เรามาถึงเมือง Pula กันตอนบ่ายสี่ค่ะ  เพราะว่ามีหลงทางกันเล็กน้อย  เนื่องจากระหว่างทางมีการซ่อมแซมถนน ต้องเข้าทางเบี่ยงจีพีเอสก็เลยเกิดอาการงงงวยพาเราเข้ารกเข้าพงไปบ้าง แต่ในที่สุดเราก็มีถึงเมือง Pula โดยสวัสดิภาพ

ก่อนอื่นเราก็ต้องเข้าที่พักกันก่อนค่ะ  นัดเจ้าของอพาร์ทเม้นต์ให้มาเปิดกุญแจให้ตอนบ่ายสี่พอดีเลย มาถึงปุ๊ป ต้าร์ก็จอดรถเฟี๊ยวเยื้องด้านหน้าอพาร์ทเม้นต์มาหน่อยนึง

นี่ค่ะที่พักของเรา  Apartments Arena Pula เห็นอะไรข้างขวาไม๊คะ


ก็ไหนๆ นานๆ มาทั้งทีนอนข้างๆ แลนด์มาร์คของเมือง Pula ซะเลยก็แล้วกัน  เพื่อนสาวเป็นคนจองอพาร์ทเม้นต์นี้ค่ะจาก Booking.com สนนราคาสำหรับพัก 1 คืน 2 คนไม่รวมอาหารเช้า 43 ยูโร(ราคาถูกเพราะเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวค่ะ ) ห้องพักค่อนข้างเบสิคไม่หรูหรา แต่มีครัวให้ทำกาแฟ ชงชา หรือทำอาหารเช้าเองได้  มีโต๊ะกินข้าว โซฟา ทีวี  Wireless อินเทอร์เน็ตให้  และก็มีระเบียงข้างหลังที่เห็นวิว Arena ด้วย ห้องที่ได้นอนได้ 3 คน(1 คน ต้องนอนโซฟาแต่ก็กว้างขวางดี)  ไม่ได้ถ่ายรูปห้องพักมา  แต่ดูรูปได้จากในเวป booking.com หา Apartment Arena Pula เลยค่ะ  ไม่มีอาหารเช้าให้ไม่เป็นปัญหาชีวิตแต่อย่างใด  เนื่องจากเราสองคนรู้จักที่ฝากท้องอย่าง ร้าน Pekarna ตอนเช้ากำเงินไป 7-8 คูน่าก็ได้หม่ำเบเกอรี่อันโตอร่อยๆ  กาแฟอีก 7 คูน่า สองอย่าง 15 คูน่า หรือ 2 ยูโร

สำหรับที่จอดรถตอนแรกที่มาจอดจอดหน้าบ้าน ซึ่งเป็นโซน 1 พอเข้าห้องเสร็จ ก็จัดการโยกย้ายออกไปโซนสองนิดนึง ราคาที่จอดเท่ากับเมือง Rovinj ค่ะ  4 คูน่า ต่อชั่วโมง หลัง 2 ทุ่มจอดฟรี ถึง 7 โมงเช้า เราเข้าห้องพักบ่ายสี่โมงก็นอนเล่นเข้าห้องน้ำกันซักพัก บ่ายสี่โมงครึ่งก็เริ่มออกสำรวจเมือง Pula  กัน

เป้าหมายแรกก็คือ Roman Amphitheatre โห เดินไปไกลมากเล้ยกว่าจะถึงตั้ง 10 เมตรแน่ะ แต่ไม่ได้เข้าไปดูข้างในหรอกค่ะเค้าปิดตั้งแต่ 4  โมงเย็นแล้ว  ก็เลยเดินวนดูรอบๆวนไปก็วนมาจนแดดหมด ได้รูปมาประมาณเนี้ยค่ะ

ด้านหน้ามีสวนให้นั่งเล่นและรูปปั้นทหารเรือ

ส่องซูมเข้าไปด้านใน

ด้านข้างเยื้องๆ มองจากถนนอีกฝั่งหนึ่ง 

มุมมองผ่านช่องประตู

ถ่ายจากโบสถ์ด้านหลังของ Pula Area  


****************

ดูรูป Pula Amphitheatre Arena กันจนเบื่อเลยหรือปล่าวคะ  เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นบ้างดีกว่า จริงๆ แล้ว  Pula ไม่ได้มีแต่ Amphitheatre  นะจ๊ะ   แต่ยังมีอย่างอื่นให้ดูให้ชมอีก  ก่อนฟ้าจะมืดค่ำซะก่อน พวกเราค่อยๆ เดินห่างออกไปจาก Pula Amphithretre Arena ที่เที่ยวส่วนใหญ่ จะอยู่ในตัวเมือง Pula เกือบทั้งหมดรัศมีเดินเท้าไม่จำเป็นต้องนั่งรถโดยสาร หรือขับรถแต่ประการใด  ต้าร์ทำแผนที่อธิบายจุดสำคัญๆ ไว้ให้ด้วย




 จาก Arena เรา เดินไปตามถนน  Istarska ulica ต่อไปยังถนน Giardini ulica จนสุดทางขวามือก็จะเห็น นี่ค่ะ

ประตูชัย  Triumphal Arch ทางด้านหน้า

ประตูชัย  Triumphal Arch เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามา James Joyce's Uliks coffee bar 
อยู่ตึกสีเหลืองข้างๆ ที่มีเก้าอี้สีแดง

หยุดถ่ายรูปกัน ที่หน้า Triumphal Arch นิดนึง ตอนนี้ต้าร์เริ่มใจระทึกแล้วค่ะ เอ  Mission* ที่ตั้งใจไว้ในทริปหนีสามี เอ้ย ลูกเที่ยวนี้   จะเจอเค้าคนนั้นไม๊น้า  พอเดินผ่านประตูชัย  Triumphal Arch ต้าร์ก็ได้ยิ้มกว้างทันที   เธอนั่งรออยู่ตรงนี้เอง  James Joyce** ที่รัก   พอเห็นเพื่อนชายชาวไอริชที่อยากเจอ ต้าร์ก็รีบเข้าไปหาทักทายและขอโทษของโพยที่มาช้า "ขอโทษทีนะเจมส์  ที่มาสาย  พอดีออกจากเมือง Trieste สายไปหน่อย  แล้วก็ไปแวะ Rovinj  มาด้วยล่ะ เมืองน่ารักเชียว ชอบมาก แต่ก็ต้องดั้นด้นมาหาเธอที่ Pula นี่แหล่ะ สามีฉันสบายดี แต่ฉันชวนไปเที่ยว Dublin  บ้านเกิดของเจมส์ไม่อยากไปซักที   ลูกชายฉันราฟาเอลก็เกิดที่เมืองDublin นะ  น่ารัก อ้วน ซน ฉลาดเฉลียวพอใช้ได้  เค้าเริ่มจะเป็นคนดังที่ Trieste เหมือนเธอเลยนะ ขนาดผู้ว่าเมือง Trieste ยังหยุดทักเลย อิอิ(ตอนเลือกตั้งอ่ะดิ)"  "เจมส์ล่ะ สบายดีไม๊อยู่ที่เมือง Pula นี่ นั่งนานๆ เมื่อยหรือปล่าว มีนกบินผ่านขี้ใส่หัวบ้างหรือปล่าว  ตัวเธอที่ Trieste คราวที่แล้วฉันผ่านไปทักทาย ก็ดูสบายดีนะ เสียแต่นก Trieste ท้องเสียบ่อยไปหน่อย ขี้ใส่หัวเธอเยอะเลย แต่ไม่ต้องกังวลไปนะเค้าส่งคนมาทำความสะอาดเธอเสมอๆ ล่ะ เพราะเธอน่ะ เป็นคนสำคัญของ Trieste ใครผ่านไปผ่านมาก็มาทักทายเธอ รวมทั้งฉันด้วย"   ทักทายลูบแขนตบไหล่เพื่อนเจมส์อยู่ซักพักนึง แถมชักรูปคู่ด้วยกันเป็นที่ระลึก ตอนแรกว่าจะกอดแต่ตัวเจมส์เย็นเหลือเกิน แถมยังเปียกอีกด้วย เลยแค่แตะๆ ไม้เท้าพอแค่อบอุ่นเนอะ 

กับต้าร์เองค่ะ ดูรูปต้าร์กับเจมส์ ที่ทรีเอสเต้ได้ที่นี่ 


เพื่อนสาวต้าร์ยืนรอต้าร์ทักกับเจมส์ อยู่นานแถมเธอต้องเป็นคนถ่ายรูปให้ด้วย  ก็ทักแหวกอากาศขึ้นมาว่า "เธอสองคนทักทายกันเสร็จหรือยัง ฉันหนาวฉันอยากดื่มอะไรร้อนๆ ซักหน่อย"  เจมส์ก็เสนอทันทีเลย ก็นั่งพักดื่มกาแฟ หรือชาร้อนๆ ที่ร้านฉันก็ได้ Uliks Coffee Bar แพงนิดนึงแต่เพื่อบรรยากาศ  ต้าร์ก็เดินไปดูราคาที่ติดไว้หน้าร้าน อืมส์ Cappuccino 18 คูน่า หรือ 2.50 ยูโรแน่ะ  ราคาของชาก็พอๆ กัน   เพื่อนสาวบอกแพงไปนะ  ฉันแค่จะอยากดื่มชาร้อนซักถ้วยก่อนอาหารเย็นเท่านั้นเอง  ไปที่อื่นกันเถอะ ฉันเห็นมี McDonald อยู่ใกล้ๆ ไปที่นั่นกันดีกว่า   ไอ้เราก็เกรงใจเพื่อนสาวเหมือนกัน  มัวแต่คุยกับหนุ่มเจมส์  ก็เลยตกลงไปแต่ชวนให้เจมส์ไปด้วยกันไม๊  เจมส์บอกว่า "ผมขอตัวไปไม่ได้ครับ ตูดติดกับเก้าอี้"   เออจริงแฮะ  ก็เลยขอลาเจมส์ ณ ตรงนั้นไปดื่มน้ำชาที่ McDonald  หรูหราเนอะ ดื่มชาเสร็จเกือบหนึ่งทุ่มเราก็ไปหาที่ทานข้าวเย็นกันค่ะ 

----------คั่นด้วยโน้ตอธิบายข้างบนหมายเหตุ * และ ***ข้างบนค่ะ------------

*Mission ของต้าร์คือตามรอยนักเขียนดังชาวไอริช  James Joyce ไปยังที่ต่างๆ ที่เค้าเคยไปอยู่อาศัย ตั้งแต่เมือง Dublin, Trieste,  Paris , Pula ซึ่งไปมาหมดแล้ว ขาดอยู่ก็แต่เมือง Zurich ที่ๆ เป็นหลุมฝังศพของเค้าด้วย ที่สุสาน Zurich-Fluntern ตั้งแต่ปี 1941  นึกแล้วก็แปลกใจโชคชะตา  ต้าร์เคยไปซูริกมา 4 รอบแล้วนะ แต่ไปเพื่อเปลี่ยนเครื่องบินทั้งหมดเลย ยังไม่ได้มีโอกาสเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองซะที ซักวันนึงจะต้องไปให้ได้   เกี่ยวกับเจมส์อ่านได้ที่  http://en.wikipedia.org/wiki/James_Joyce

**James Joyce นักเขียนดังช าวไอริช James Joyce (1888-1941) เคยไปอาศัยที่เมือง Pula ระหว่างตุลาคม 1904 ถึง มีนาคม 1905 เพียงแค่ 5 เดือนเท่านั้น เพื่อสอนภาษาอังกฤษให้แก่เหล่าทหารเรือ Austro-Hungarian ที่โรงเรียนสอนภาษา Berlitz ว่ากันว่าที่ Pula นี้เองเป็นที่ที่เจมส์ เริ่มเขียนพล็อตเรื่อง Ulysses หรือ  Uliks ในภาษาโครเอเชีย ที่เอามาตั้งเป็นชื่อ Café Bar นั่นเอง 

*********************

เดินผ่านมาทางด้านหน้าของ  main square มีที่ทำการเมือง Pula และ
ข้างๆ มีโบสถ์ Augustus Temple กำลังปิดปรับปรุงอยู่เข้าไม่ได้ค่ะ 

Augustus Temple ที่มีเสาโรมันสมบูรณ์มากๆ



อีกโบสถ์นึงใกล้ๆ กัน ก่อนถึงทางขึ้น Castle ด้านหน้ามีหนูน้อยเด็กยิบซีคอยขอเงินด้วย  

วิวเมือง Pula จาก Pula Castle ตอนโพล้เพล้ ชวนหิวข้าวจัง

Cathedral 


ทะเลด้านหน้าเมือง Pula ดูไม่ค่อยสวยน่าประทับใจเท่าไหร่  
ดูมันเป็นท่าเรืออุตสาหกรรมยังไงไม่รู้ ทะเลหน้าบ้านต้าร์ที่ Trieste ดูดีกว่า


ลงจากตรงนี้ปุ๊ป ก็มืดพอดีค่ะ  เวลาหนึ่งทุ่มได้เวลาหม่ำข้าวเย็น เราไปหม่ำกันที่ร้านอาหาร Sarajevo  อยู่ไม่ไกลจาก Main square มาหน่อยนึง รูปร้านไม่ได้ถ่าย ถ่ายแต่จานนี้มาค่ะ จำชื่อไม่ได้แล้วอ่ะค่ะ แต่ในเมนูจำได้ว่ามันมีรูปประกอบให้ดู ในรูปมันมี 8 ลูก ต้าร์ก็นึกว่าจะได้กินทั้ง 8 ลูกที่ไหนได้ ใส่มาให้ 3 ลูกเองค่ะ แต่กินแล้วก็อิ่มนะเพราะว่า เอาขนมปังจิ้มซอสด้วย กินเคียงกับสลัดอีกจานเอาอยู่ค่ะ  ถ้าจำราคาไม่ผิดราคาประมาณ 35  คูน่า 4.50 ยูโร  บอกได้คำเดียวว่าอร่อยมาก หัวหอมอบใส่เนื้อ ข้าวซอสมะเขือเทศ หอมกลิ่นเครื่องเทศอะไรซักอย่าง  




สองทุ่มกินอิ่มแล้ว กำลังนึกๆ ว่าจะสั่งของหวานดีไม๊หว่า ได้ยินเสียง ตู๊ดๆๆ พ่อเจ้าราฟาเอลก็ส่งเมสเซสมา นี่เธอไปเที่ยวถึงไหนแล้ว ไหนบอกว่าจะโทรมาที่บ้าน สองทุ่มแล้วโทรมาได้แล้วเดี๋ยวราฟาเอลนอนซะก่อน  ว้าย ลืมโทรหาลูกหาสามีซะสนิทเลย ก็เลยรีบจ่ายเงินค่าอาหารวิ่งจู๊ด กลับอพาร์ทเม้นต์ ต่อเน็ต ออน Skype ที่ปลายสาย ราฟาเอลและปาป๊า รออยู่แล้ว   ราฟาเอลพอเห็นต้าร์ก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ทักทายหม่าม๊าด้วยการกระโดดไปรอบบ้าน ตะโกนเล่าให้ฟังใหญ่เลยว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง ได้ของขวัญอ่ะไร  นอนน่าซื้อขนมอะไรให้กิน   ตบท้ายด้วยการถามว่า หม่าม๊าไปเที่ยวสนุกไม๊  ขับรถดีๆ นะ   จุ๊บๆๆๆ Kissses วุ้ย ชื่นใจจริงๆๆ  กับสามีก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก  คุณแค่สั่งมาว่า "ขับรถดีๆ อย่าซิ่งมาก อย่าให้มีใบสั่งจากตำรวจส่งมาปรับถึงบ้านนะ  ขับรถขึ้นเขาลงห้วยให้ระวัง อย่าหลุดโค้งให้ตามไปเก็บล่ะ" ตู๊ดๆๆ  วางสายไปแล้วค่ะ  Thanks to Skype ที่ทำให้การสื่่อสารของเราง่ายขึ้น  

คุยกับลูกเสร็จ เราก็ยังไม่นอนกันทันที เราสองสาวไม่ได้เจอกันน้านนานก็เลยคุยกันต่อจนมืดค่ำดึกดื่น ห้าทุ่มกว่าก็เข้านอน แต่ต้าร์นอนไม่หลับอ่ะ คิดถึงราฟาเอลจัง คิดถึงไออุ่น ตัวนิ่มๆ หอมๆ ของลูกที่ตกดึกๆ ชอบมานอนซุกจักกะแร้หม่าม๊าทุกคืนเลย  คิดถึงจนน้ำตาไหล แอบซุกใต้ผ้าห่มร้องไห้ กลัวเพื่อนสาวได้ยิน  ต้าร์นอนร้องไห้ไปจนตีหนึ่งก็หลับเป็นตาย  

รูปเด็กที่โดนแม่คิดถึงจนน้ำตาไหล เลียน้ำตาลเป็นอาหารว่าง


ตื่นเช้าอีกทีก็โน่นเกือบ 8 โมงแน่ะค่ะ อาหารเช้าง่ายๆ ของเราคือพายเชอร์รี่ชิ้นใหญ่จากร้าน Pekara บวกด้วยกาแฟคาร์ปูชิโน่  1 แก้ว

รูปเพิ่มเติมร้าน Pekara หน้าตาแบบนี้
เครดิตรูปจาก www.backstagebalkans.com ค่ะ


เช็คเอ้าท์ 9 โมงกว่า  แล้วขับรถต่อไปจุดหมายปลายทางต่อไปเลยค่ะ ปิดท้ายเมือง Pula ด้วยรูปแท่งๆ นี้  ซึ่งไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกัน  ไม่มีป้ายไม่มีอะไรบอกไว้เลย ตั้งอยู่โด่เด่อยู่ท่อนเดียว





ส่งท้าย 
เมือง Pula ในความรู้สึกของต้าร์ ว่ามันเป็นเมืองที่มีส่วนผสมแบบแปลกๆ  คือ เข้าไปในเมืองตอนแรกๆ จะรู้สึกว่าเมืองไม่สวยดึงดูดสายตาเท่าไหร่  เมื่อเปรียบเทียบกับสองเมืองเล็กๆ ก่อนหน้า คือเมือง  Piran และ Rovinj   ที่เห็นแว๊บแรกก็สวย มีเสน่ห์ด้วยตึกโบราณ โบสถ์ ต่างๆ ตั้งแต่สมัยเวเนเซียน และองค์ประกอบต่างๆ ของเมือง   ในส่วนเมืองเก่าของ Piran และ Rovinj ก็ดูเหมือนได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี  แต่ที่เมือง Pula เป็นเมืองโบราณที่ดูเก่าๆ ทึมๆ กว่าเมืองอื่นๆ  มีอาคารบ้านเรือนโบราณยุคMedieval สวยงามมากมายกับเค้าเหมือนกัน แต่ที่ไม่ค่อยชอบก็คือ   ทะเลด้านหน้าของเมือง Pula ถูกใช้เป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้าดูไปก็คล้ายๆ คลองเตยบ้านเราแบบมีตึกเก่าๆ แต่ไม่มีสลัม  แต่พอเดินสำรวจไปทีละเล็กทีละน้อย ก็เริ่มจะเห็นความงาม น่ารักๆ หลายจุดของเมือง อย่างร้านกาแฟเก๋ๆ ร้านขายเครื่องครัว หรือร้านขายขนม  ต่างๆ  ถ้าจะถามว่า Pula สวยไม๊ คำตอบคงเป็นสวยแต่ไม่ทั้งหมด และต้าร์คิดว่า Pula ควรค่าแก่การมาเที่ยวเยี่ยมเยือน   Roman Amplitheatre และพวกประตูเมืองต่างๆ ดูขลัง  น่าทึ่งและสวยมาก  ส่วนรอบนอกเมือง Pula ต้าร์ก็ได้เห็นทัศนียภาพทิวทัศน์สวยๆ ระหว่างทางที่ขับรถผ่านจาก Rovinj มายัง Pula  มีชายหาด(หิน) ที่น่าเดินเล่นและลงเล่นน้ำ(ในหน้าร้อน) ด้วย  ที่แน่ๆ น้ำทะเลที่โครเอเชียดูใสแจ๋วมาก


จากในหนังสือไกด์บุ๊กที่อ่าน เค้าแนะนำ ใกล้ๆ Pula ยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ  ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ Brijuni Islands (http://www.brijuni.hr/en/) ที่ไปขึ้นเรือได้ที่หมู่บ้าน Fažana  ขับรถไปประมาณ 5 กม. จาก Pula  ดูรูปที่คนอื่นถ่ายมาแล้วสวยมากมายมีธรรมชาติ และสัตว์ป่า นานาพันธ์อย่างเก้งกวางบนเกาะให้ดูด้วย   เผื่อใครสนใจค่ะ


การมายังเมือง Pula  นอกจากจะขับรถมาเที่ยวแล้ว ตอนหน้าร้อนยังมีเรือเฟอร์รี่ความเร็วสูงจากเมือง Triest(www.triestelines.it)  และเมือง Venice(www.venezialines.com) มายัง Pula  ลำเดียวกับที่ไปเมือง Rovinj นั่นแหล่ะค่ะ เค้าขับต่อมายัง Pula ด้วย รถบัสก็เช่นเดียวกันค่ะ  จากเมือง Trieste มายัง Pula ดูตารางรถบัสได้ที่
http://www.autostazionetrieste.it/index.php?option=com_content&task=view&id=12&Itemid=0
จากเมืองใหญ่ๆ ในโครเอเชียอย่างZagrep, Rijeka, Split ก็ดูที่
http://www.croatiabus.hr/index.php?lang=hr

ที่พัก  ถ้าใครไม่จำเป็นต้องนอนหรูมากที่พัก Apartment Arena Pula ที่ได้ไปพักก็ถือว่าใช้ได้เลย  โดยเฉพาะทำเลที่ตั้งอยู่ติดกับ Arena มีแอร์ให้ด้วย(สำหรับหน้าร้อน)  ราคาตอนที่ไปพักอยู่ที่ 43 ยูโร สำหรับ 2 คน แต่ถ้าเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวตั้งแต่เดือน เมย. ถึง ราวๆ ปลายตค. โดยเฉพาะ กค. สค. ราคาย่อมสูงขึ้นไปอีก เวปนี้ก็มีรายละเอียดให้ดูชัดเจนทีเดียวค่ะ    http://www.travellerspoint.com/accommodation/2796-Apartments-Arena-Pula/

ที่พักแบบอพาร์ทเม้นต์แบบนี้จะเหมาะกับทริปที่มากัน 2-4 คน  นอกเหนือจากที่พักนี้แล้ว ต้าร์ก็ดูที่อื่นๆ ไว้ด้วย ที่พักนี้ก็น่าสนใจค่ะ ทำเลได้ ที่จอดรถฟรีด้วย http://hostelpula.com/  ดูที่พักอื่นๆ ได้จาก Booking.com เลยค่ะ



อยากพูดคุยหรือทักทายกันได้ ขอรบกวนไปที่ Facebook.com/BlueSeaTriesteItaly นะคะ
ไม่ได้เซตให้รับข้อความอัตโนมัติที่ Blog นี้ค่ะ

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...